รับผลิต ครีมกันแดด

รับผลิต ครีมกันแดด

รับผลิต ครีมกันแดด

รับผลิต ครีมกันแดด ให้บริการด้านการจัดทำเว็บไซต์ เว็บไซต์อีคอมเมิร์ส วางแบบ Website เว็บไซต์ตามแผนการทำธุรกิจ ด้วยความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และประเด็นที่แปลกใหม่ให้ตอบคำถามกับสิ่งที่คนซื้อต้องการ โดยใช้ขั้นตอนคิดตรวจทานและพัฒนาการทางเทคโนโลยี สอดคจำลองกับสินค้าหรือบริการตลอดจนการจัดการทำระบบต่าง ๆ ที่ต้องการใช้เป็นเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับเพื่อการเนินธุรกิจช่วยให้เว็บของคุณถูกศึกษาและทำการค้นพบเพิ่มมากขึ้นผ่าน Google เพื่อที่จะช่วยให้หน่วยงานธุรกิจสามารถติดต่อและทำการสื่อสารกับหมู่เป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุคธุรกิจดิจิทัลนี้ และอุปกรณ์ค้นหาหาบนอินเตอร์เน็ตอื่น ๆ คุณจึงติดอันดับการค้นหาหาในหน้าแรก ๆ

รับผลิตครีม OEM SKINCARE รับผลิตครีมกันแดด - โรงงานผลิตอาหารเสริม  โรงงานรับผลิตครีม รับผลิตอาหารเสริม OEM

ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคสามารถทำแล้วได้หรือไม่ในเครื่องสำอาง

บันทึกเรื่องราววันนี้จะมาไขข้อข้องใจกันอีกแล้ว รับผลิตครีมกันแดด เนื่องด้วยมีคนสอบถามกันมาเยอะๆเลยจ้ะ ว่าจะทำเครื่องสำอางออร์แกนิคจำเป็นต้องทำอย่างไร หากต้องการใช้สารสกัดธรรมชาติล้วนๆทำเป็นแล้วได้หรือเปล่า ฯลฯ มามะวันนี้พรีมา แคร์จะมาแถลงข้อข้องใจกันให้เด่นชัดจ้ะ

มาสิ่งแรกก่อนเลย เครื่องสำอางออร์แกนิค (Organic Product) อันที่จริงแล้วคำว่าออร์แกนิค (Organic) เป็นชื่อเรื่องวิชาสุดหินวิชานึง ที่มั่นใจว่าเด็กสายวิทย์ทุกท่านน่าจะเคยรู้สึกกัน (นักประพันธ์ก็ฝ่าฟันกับวิชานี้มาด้วยเช่นกันจ้ะ) ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเรียนสารรวมตัวกันทุกๆสิ่งทุกๆอย่างในโลกนี้ที่มีธาตุคาร์บอน (C) เป็นส่วนประกอบ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชิวิต ฉะนั้นหากจะถามว่าเครื่องสำอางออร์แกนิคคืออะไร แล้วไปพาดพิงตามนิยามที่พูดมา คงจะคือว่าเครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบที่และก็มีคาร์บอนเพียงแค่นั้น แต่แม้กระนั้น มันไม่ได้แปลดิ่งตัวซะขนาดนั้นจ้ะ

จำเป็นที่จะต้องพูดก่อนว่าเครื่องสำอางออร์แกนิคไม่มีนิยามชัดเป๊ะนะคะ

เครื่องสำอางออร์แกนิคในคำนิยามของนักเขียนคือ เครื่องสำอางที่และก็มีสารที่เป็นพื้นฐานจากธรรมชาติ ไม่ไปดัดเปลี่ยนแปลงตกแต่งอะไรเพิ่มเติม นั่นนับได้ว่า วัตถุดิบที่เอามาใช้ก็ควรจะเป็นวัตถุดิบที่จากโรคและภัยต่างๆ มีพลังเปี่ยมล้นสารเคมีปนเปื้อน ไม่ตัดแต่งพันธุกรรม ไม่น่าจะใช่สารสังเคราะห์ ไม่ใช้เทคโนโลยีไปยุ่งเกี่ยวกับสาร

กระบวนการผลิตก็จำเป็นจะต้องไม่ปะปนไปกับสารปนเปอะดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นข้างต้น ซึ่งการจะสามารถบ่งบอกได้ว่าผลิตภัณฑ์ของตัวเองเป็นออร์แกนิคไหม จำเป็นต้องได้รับการรับรองจากสถาบันที่สามารถออกใบรับรองได้โดยเฉพาะ ซึ่งข้อบังคับของแต่ละสถาบันก็จะต่างกันออกไป ว่าจะอนุญาติไปในด้านไหนบ้าง ดังเช่น ในอเมริกาถ้าจะใช้คำว่า ‘Certified Organic’ หมายความว่าในผลิตภัณฑ์ต้องใช้วัตถุดิบที่เป็นออร์แกนิคอย่างต่ำ 95% เป็นองค์ประกอบ ส่วนถ้าใช้วัตถุดิบออร์แกนิคไม่ถึง 95% แต่มากมายยิ่งกว่า 70% ก็สามารถเคลมได้ว่าสำเร็จิตภัณฑ์ที่ ‘Made with organic ingredients’

พอจะสังเกตเห็นภาพผลิตภัณฑ์ออร์แกนิครึเปล่าคะ ดังนี้มาต่อกันถึงเรื่องสินค้าธรรมชาติ (Natural Product) ซึ่งในความเป็นจริงแล้วผิดแผกแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคนะคะ เหตุเพราะสินค้าจากธรรมชาติที่แล้วก็มีสารสกัดธรรมชาติจากผัก ผลไม้แท้ๆ โดยที่ผักผลไม้นั้นอาจจะจะผ่านการฉีดยา แปลงพันธ์ ดัดเปลี่ยนอะไรอะไรบางอย่างมาก็ได้เหมือนกัน ก็ยังจัดเป็นสินค้าธรรมชาติได้อยู่

แต่ขณะที่คนซื้อถามว่าต้องการที่จะได้เครื่องสำอางธรรมชาติ 100% พอจะมีผลให้ได้ไหม

แบบนี้ต้องมองสองมุมจ้ะ มุมนึงคือเครื่องสำอางนั้นแล้วก็มีสารสกัดจากธรรมชาติ 100% ยกตัวอย่างเช่นมีแต่สารพวกว่านหางจระเข้ องุ่น ถั่ว อะไรก็ว่าไปล้วนๆ ไร้หมวดหมู่เปปไทด์ หรือสารสังเคราะห์อื่นๆ อันนี้ก็กล่าวได้ว่าเครื่องสำอางนี้มีสารสำคัญเป็นสารธรรมชาติล้วนๆ 100%

แต่หากมองอีกมุม ผู้ใช้กล่าวว่าต้องการที่จะได้เครื่องสำอางที่เป็นธรรมชาติ 100% เลย ไม่น่าใช่แค่เพียงสารสกัดเพียงแค่นั้นแต่รวมทั้งตัวเบสด้วย เราบอกเลยว่าทำแล้วได้ออกจะยาก เนื่องมาจากเบสสำหรับการขึ้นเนื้อไม่ว่าจะเป็นสบู่ ครีม เซรั่ม หรือต่างๆ จะต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นสารเคมีแน่ๆ ได้แก่สบู่ก้อน ควรมีด่างบวกไขมัน แค่ด่างก็จัดเป็นสารเคมีจำพวกนึงแล้วค่ะ ดังนี้ออกจะยากนะคะที่จะหาสินค้าที่เป็นธรรมชาติล้วน (ค่อนข้างจะยาก แต่ไม่น่าจะใช่ว่าไม่สามารถที่จะทำได้นะคะ มีโรงงานที่รับทำแต่บางส่วนมากๆเลยในประเทศไทย)

ก็จบลงไปแล้วเพื่อเรื่องของเครื่องสำอางแบบออร์แกนิค และเครื่องสำอางธรรมชาติ บันทึกเรื่องเล่าค่อนข้างยาวเลยจ้ะวันนี้ แต่อยากให้รู้กันจริงๆว่าเครื่องสำอางออร์แกนิคเป็นอย่างไร รับผลิต ครีมกันแดด เครื่องสำอางธรรมชาติเป็นยังไง เพื่อที่จะที่ว่าหากนักอ่านไปพบสินค้ากลุ่มนี้จะได้ทราบดีว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร หรือหากอยากทำผลิตภัณฑ์เป็นแบรนด์ตัวเองก็จะได้รู้วิธีการสำหรับเพื่อการวางแผนต่อไปว่าจะทำเช่นไรให้เป็นผลิตภัณฑ์เป็นออร์แกนิค จะทำยังไงให้เป็นธรรมชาตินั่นเองค่ะ

เลือกเฟ้นครีมกันแดดตัวไหนดี? คุณลักษณะครีมกันแดดที่ควรจะทราบ

ครีมกันแดดในขณะนี้ นอกนั้นจำเป็นที่จะต้องมีประสิทธิภาพสำหรับในการคุ้มครองปกป้องรังสี UVA/UVB จากแสงแดดได้ดีแล้ว ต้องมีคุณลักษณะสำหรับในการป้องกันผิวจากคลื่นรังสีและคลื่นแสงดังที่อื่นๆ ด้วย เป็นต้นว่า แสงจากหลอดไฟ จอโทรทัศน์ หน้าจอโทรศัพท์ computer หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เนื่องจากว่าเครื่องมือกลุ่มนี้สามารถปล่อยพลังงาน High-energy visible light(HEVIS Light) หรือ แสงสีฟ้า ซึ่งมีอานุรูปในการทำร้ายเซลล์ผิวเทียบเท่ากับรังสี UVA และ UVB สามารถกระตุ้นการผลิตอนุมูลอิสระ (Free Radical) และเนื้อสีเมลานิน ต้นตอของการกำเนิดจุดด่างดำ ฝ้า กระ รวมทั้งข้อขัดแย้งผิวและริ้วรอยอื่นๆ ได้ด้วยเช่นกัน เรื่องของแสงแดดเป็นเรื่องที่สาวๆ หลายคนต้องระมัดระวังกันอยู่เสมอ โดยบางคนก็อาจจะไม่รู้นะคะว่า รังสี UVA และ UVB

เพื่อที่จะให้ผิวได้รับการคุ้มครองและดูแลอุปสรรคผิวได้อย่างดีเยี่ยม การเลือกเฟ้นใช้ครีมกันแดดจึงจำเป็นที่จะต้องไตร่ตรองคุณสมบัติพวกนี้

1. ค่า SPF และ PA :ค่าของ SPF หรือ PA ที่อยู่ด้านใน ครีมกันแดดทาหน้า อาจเป็นสิ่งที่หลายท่านมองหาเป็นก่อนอื่น เพราะว่าคุ้นชินกับการได้ยินหรือคุ้นตาแต่ยังมีหลายๆผู้คนที่คงจะจะไม่เข้าใจในเรื่องคำจำกัดความของค่าทำให้รู้พวกนี้มากนัก ซึ่งส่วนมากมักเข้าใจว่ายิ่งค่าตัวเลขสูงยิ่งมีคุณภาพที่ดี แต่คำจำกัดความที่แท้จริงของค่าทำให้ทราบที่สามารถพบเจอได้บนสินค้าครีมกันแดด สามารถอธิบายได้เพราะฉะนั้น

SPF (Sun Protection Factor) หรือค่าสมรรถนะสำหรับในการคุ้มครองปกป้องรังสี UVB ซึ่งจำนวนที่ต่อท้ายจะเป็นการกล่าวค่าจำนวนเท่าของช่วงเวลาที่ผิวสามารถทนต่อรังสีได้ โดยข้างหลังหลังจากนั้นถึงจะเกิดอาการแดงหรือผิวมั๊ย้แดด ปัจจุบันนี้ในครีมกันแดดควรค่าป้องกันไม่เหมือนหลากหลายลำดับขั้น รับผลิต ครีมกันแดด เพื่อที่จะให้สามารถคัดสรรค์ใช้งานได้ตามแต่สถานการณ์
PA (Protection Grade of UVA) คือ ค่าที่ชี้ให้เห็นถึงการคุ้มครองป้องกันผิวจากรังสี UVA ซึ่งสามารถทำร้ายผิวได้ลึกจนกระตุ้นให้เกิดข้อขัดข้องฝ้า กระ ริ้วรอย และความแก่ก่อนวัย ส่วนสัญลักษณ์ + ที่ตามหลังนั้น คือค่าระดับความสามารถในการคุ้มครองปกป้องผิว

2.ครีมกันแดดที่ให้การปกป้องขั้นกว่า : ครีมกันแดดทั่วไปนิยมจะมุ่งเน้นไปที่การป้องกันรังสี UVA/UVB จากแสงแดดเป็นพื้น แต่เหตุเพราะไลฟ์สไตล์แบบชีวิตติดจอของคนยุคใหม่ในขณะนี้ การเลือกเฟ้นกันแดดที่เหมาะสมที่สุดจึงต้องช่วยคุ้มครองปกป้องได้มากยิ่งกว่าและควรจะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดแนวทางการทำร้ายผิวจากแสงแดดและรังสีต่างๆ ได้อีกต่างหาก

3.ครีมกันแดดที่เยี่ยมที่สุดสำหรับผิวของคุณ : นอกเหนือจากนี้คุณลักษณะที่สำคัญทั้ง 2 ข้อดังที่พูดมาแล้วนั้น ข้อสำคัญอีกข้อคือ เนื้อรู้สึก ควรที่จะทำการเลือกครีมกันแดดที่มีเนื้อบางเบา ซึมซาบรวดเร็วทันใจ ไม่ทิ้งความมันตกค้าง เกาะติดผิวแต่ไม่ส่อให้เห็นสึกเหนอะหนะ ไม่หลุดไม่ยากขณะวัน มีส่วนผสมที่อ่อนโยน เหมาะสมกับสภาพผิวและอุปสรรคผิวของแต่ละคนด้วย เพราะเหตุว่าทุกคนล้วนมีสภาพผิวที่ไม่เหมือน อุปสรรคผิวที่จำเป็นที่จะต้องได้รับการชมแลรักษาและฟื้นฟูแตกต่างกัน การเลือกครีมกันแดดเพื่อที่จะให้ใกล้เคียงกับสภาวะผิวและปัญหาผิวของคุณ จะเป็นการช่วยทำให้ครีมกันแดดนั้นสามารถคุ้มครองได้อย่างมีคุณภาพขึ้นมาก

เทคนิคและวิธีทาครีมกันแดดขณะวันไม่ให้เยิ้ม

ครีมกันแดด คุ้มครองปกป้องผิวจากรังสี UVA และรังสี UVB
แสงแดด เป็นตัววิธีการทำร้ายผิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นอย่างมากรังสี UVA และรังสี UVB สามารถทำให้ผิวหมองหม่นคล้ำ ผิวมั๊ย้ ริ้วรอยก่อนวัย ระบบภูมิคุ้มค่ากันอ่อนแอ รวมทั้งโรคมะเร็งผิวหนัง ถึงถึงแม้ว่าการเลี่ยงแสงแดดในชีวิตเป็นกิจวัตรจะเป็นได้ยาก แต่…ผู้ที่ช่วยเหลือสำคัญและต้องมีให้ได้เลยก่อนออกจากบ้าน นั่นคือ “ครีมกันแดด” ที่ช่วยป้องกันผิวจากแสงแดด

ครีมกันแดด จับเป็นอีกหนึ่งผู้ช่วยคุ้มครองปกป้องผิวคุณจากแสงแดดตัวการทำร้ายผิวเทียบคล้ายกับฟิล์มบางๆ ที่เคลือบผิวช่วยอำพรางจุดบกพร่องจุดด่างดำบนผิวอย่างเป็นธรรมชาติ และมอบความชื้นให้แก่ผิวได้เป็นอย่างดี เนื่องมาจากประเทศไทยเป็นเมืองร้อน การทาครีมกันแดดก่อนไปจากบ้าน หรือ ทาครีมกันแดดณ เวลาวัน ก็เลยเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก คุ้มครองปกป้องผิวจากการโดยการทำร้ายช่วงวัน

ในหนึ่งวันควรจะทากันแดดวันละกี่ครั้ง? 1 ครั้งก็พอแล้วใช่หรือไม่?

บางคนคงจะมีความคิดว่าทากันแดดขณะเช้าเวลาเดียวก็พอแล้ว แต่จริงๆแล้วแล้วควรจะทาซ้ำทุกๆ 2 – 3 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นกันแดดที่มี SPF เยอะขนาดไหน หรือแม้แต่กันแดดแบบกันน้ำก็ตาม เริ่มต้นโดยนำครีมกันแดดไปแต้มลงบนแต่ละส่วนของรูปพรรณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของจมูกและแก้มให้ทาหนาๆหน่อย แล้วจึงค่อยเกลี่ยให้สม่ำเสมอ

ในการทาที่หน้าแต่ละครั้ง ควรจะใช้ประมาณเหรียญสิบไทย บางคนคงจะชินกับวิธีใช้นิดหน่อยๆ ทาบางๆ แต่ถ้าทาไม่ถึงปริมาณที่พอดี ก็จะมีผลให้ประสิทธิภาพสำหรับการกันแดดลดน้อยลง แต่ในทางกลับกันก็ต้องระมัดระวังอย่าเทออกมาเยอะ เนื่องมาจากณ เวลาทาซ้ำจะก่อให้เกลี่ยได้ไม่เนียนนะ

HOME

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *